วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์ ล้างพิษตับ ช่วยยืดชีวิต


   แม้ว่าร่างกายจะมีกลไกในการขจัดพิษตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากได้รับพิษอยู่บ่อยหรือมากเกินไป ร่างกายก็ไม่อาจชำระล้างได้ทัน ดังนั้น เราจึงควรหาวิธีขจัดพิษ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย เพิ่มพละกำลัง และทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น ชั่วโมงนี้ หลักสูตรล้างพิษตับนับว่าเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง
       
       ผู้บุกเบิกหลักสูตร "อาจารย์ขวัญดิน สิงห์คำ" ร่วมบอกเล่าประสบการณ์เรื่องมหัศจรรย์ล้างพิษตับในงานพระอาทิตย์แฟร์ครั้งที่ 2 ณ เวทีอาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดยมีผู้ที่ได้รับผลดีจากการล้างพิษตับ และแพทย์แผนปัจจุบัน ร่วมให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ ดำเนินการสนทนาโดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       • ผู้ป่วยหลายพันดีขึ้นเพราะล้างพิษตับ
       
       อาจารย์ขวัญดินเล่าถึงความเป็นมาของหลักสูตรล้างพิษตับว่า ตนเคยเป็นผู้รับผิดชอบและจัดหลักสูตรครั้งแรกให้กับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ชาวอเมริกัน ที่เป็นโรคไขมันพอกตับ และนิ่วในถุงน้ำดี โดยหมอนัดทำการผ่าตัด แต่อาจารย์คนดังกล่าวเลือกใช้วิธีล้างพิษที่ชุมชนศีรษะอโศก จนนิ่วในถุงน้ำดีได้หายไปโดยไม่ต้องผ่าตัด ในเวลา 5 วัน นอกจากนี้โรคอื่นๆ ที่มีก็พลอยหายไปด้วย
       
       “หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนใจ จนในที่สุดก็ได้เข้าไปดูแลหลักสูตรแทนหลานสาวที่ชุมชนศีรษะอโศก จากวันนั้นถึงวันนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว มีผู้ที่เข้ารับการรักษาทั้งหมด 9,000 คน ซึ่งการเติบโตของหลักสูตรล้างพิษตับคือ ทุกคนอาการดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยไวรัสบีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ถัดมาที่ระดับโคเลสเตอรอลและเบาหวานลดลง
       

       รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดี ไขมันพอกตับ ตลอดจนโรคริดสีดวงทวารที่หายขาดอย่างชัดเจน หลังทำไปประมาณ 5-6 ครั้ง บางคนก็ 10 ครั้งจึงหายเป็นปกติ นอกจากนั้น ยังมีผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน และความดันโลหิตที่มีอาการดีขึ้นจากการล้างพิษตับอีกด้วย"
       
       อาจารย์ขวัญดินอธิบายถึงหลักสูตรล้างพิษตับสำหรับผู้ที่สนใจว่า ก่อนอื่นต้องทำร่างกายให้แข็งแรงก่อน 3 วัน จากนั้นเริ่มต้นด้วยการอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายพักผ่อน หยุดการย่อยและขับพิษ พร้อมกับการสวนล้างลำไส้ เพื่อให้ลำไส้สะอาด ระหว่างนั้นให้ดื่มน้ำด่าง หรือน้ำผลไม้ และขั้นตอนที่สำคัญคือ กินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น และอีกครั้งตอน 2 ทุ่ม พร้อมกับดื่มน้ำมันมะกอกตอน 4 ทุ่มตามไปด้วย
       
       "การดื่มดีเกลือมี 2 สูตร (1) สูตรไม่อดอาหาร เป็นสูตรที่ทำทั่วไป แต่จะได้เฉพาะตับ โดยกินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น 1 ช้อนโต๊ะ ตอน 2 ทุ่ม 1 ช้อนโต๊ะ และตอน 4 ทุ่มให้ดื่มน้ำมันมะกอก จากนั้นตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า กินดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ และตอน 8 โมงอีก 1 ช้อนโต๊ะ
       
       แต่สำหรับสูตรของอาจารย์ขวัญดินจะเป็นสูตรที่ (2) สูตรอดอาหาร คือ กินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น 1 ช้อนชา ตอน 2 ทุ่ม 1 ช้อนชา และตอน 4 ทุ่ม ดื่มน้ำมันมะกอก จากนั้นตื่นนอน 6 โมงเช้า กินดีเกลือ 1 ช้อนชา และตอน 8 โมงอีก 1 ช้อนชา ซึ่งทั้งสองสูตรจะต่างกันตรงที่อดอาหารและลดปริมาณดีเกลือลง"
    
   
       ผู้บุกเบิกหลักสูตรเสริมว่า สำหรับน้ำด่าง สามารถดื่มน้ำขี้เถ้าก็ได้ อาจจะมีรสเฝื่อน หรือน้ำผลไม้ ซึ่งน้ำผลไม้ที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกับแอปเปิ้ลและงุ่ คือ น้ำมะขาม การดื่มน้ำต้องค่อยจิบ เพราะถ้าดื่มรวดเดียวอาจจะอาเจียนได้
    ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องดื่มน้ำด่าง เพราะร่างกายของคนเรามีทธิ์เป็นกรด ฉะนั้น น้ำด่างจึงเข้าไปช่วยให้ร่างกายลดกรดให้น้อยลง โดยน้ำด่างที่สามารถทำได้เอง คือ การนำเปลือกมะพร้าวเผา 1 กิโลกรัม มาแช่น้ำ 5 ลิตร ทิ้งไว้ให้ตกตะกอน 7 วัน จะได้น้ำด่างที่มีค่า PH 13-14 แต่น้ำที่เหมาะแก่การปรุงอาหารคือ ค่า PH10 ดังนั้น สามารถผสมเจือจางด้วยตัวเองได้
       
       • อดีตผู้เข้าล้างพิษตับจนหายป่วยเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
       
       ด้วยเหตุผลนี้ “คุณชญาบุญ เพชรพรหม” อายุ 51 ปี อดีตนักธุรกิจที่เคยมุ่งทำเงินเพียงอย่างเดียว จากที่เคยเป็นเนื้องอก (ช็อกโกแลตซีส) ที่รังไข่ข้างขวายาว 4 เซนติเมตร ซึ่งต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แต่ได้ทำการล้างพิษตับเพียง 8 ครั้ง เนื้องอกที่เคยมีก็หายไป
       

       นอกจากนั้นจากการตรวจเลือดยังพบว่า ค่าตับยังแข็งแรงเท่ากับคนอายุ 27 ปี จึงอยากจะช่วยเหลือคนอื่นต่อๆไป จึงได้เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม "ธัญสมุย" ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีคนจองคิวเข้ารับการรักษาในหลักสูตรล้างพิษตับ ยาวไปจนถึงเดือนธันวาคม 2555
      "บางคนมีกำหนดการที่ต้องไปผ่าตัดกับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเอานิ่วออกจากถุงน้ำดี แต่เมื่อเข้าหลักสูตรล้างพิษตับแล้ว นิ่วก็ออกมาระหว่างการล้างพิษตับได้ และเมื่อกลับไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันก็พบว่าไม่พบนิ่วในถุงน้ำดีเหล่านั้นอีก ซึ่งที่ธัญสมุยทำมาเกือบปี มีผู้เข้ารับการรักษา 1,200 กว่าคน หลักสูตรนี้ไม่ต้องอาศัยโฆษณา แต่เกิดจากการบอกต่อว่าได้รับผลที่ดีขึ้นจริงก็จะมีคนมาทำเรื่อยๆ" คุณชญาบุญเล่า
       

       เจ้าของศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม "ธัญสมุย" ยังบอกด้วยว่า อันที่จริงการล้างพิษตับสามารถทำเองที่บ้านได้ แต่ก็ไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยเข้าหลักสูตรมาก่อน เพราะบางคนที่มีอาการป่วยอยู่แล้วอาจจะต้องการคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์
       
       สำหรับโรคที่พบและอาการดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อคือ โรคความดันโลหิต ผู้ป่วยไวรัสบี ส่วนผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เคยล้างไป 3 ครั้ง ก็ไม่มีนิ่วเหลือแล้ว นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีอาการดีขึ้นหลังจากล้างพิษตับ ประมาณ 60 เปอร์เซ็นอีกด้วย
       
       • ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายยืนยันการล้างพิษตับอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประโยชน์
       

       ขณะเดียวกัน "คุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์" ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายหรือระยะที่ 4 ที่ผ่านการรักษาด้วยการทำคีโม ปฏิบัติตามแบบหมอเขียว และเข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับ จนในปัจจุบันไม่พบมะเร็งแล้ว ได้มาบอกเล่าประสบการณ์ให้ฟัง
       
       คุณสันห์ฉวีเล่าว่าเมื่อปี 2553 ได้ตรวจพบโดยบังเอิญว่ามีไข้และระบบขับถ่ายผิดปกติ ในตอนนั้นหมอบอกว่าอายุ 50 ปีกว่าๆ แล้ว ถ้าลำไส้มีปัญหา หมอแนะนำให้เช็คเลือด 1 ตัวคือ CEA ซึ่งในตอนนั้นตนสนใจแต่เรื่องทำมาหากิน ไม่ได้ใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากนัก จึงยังไม่ค่อยรู้เรื่อง
       
       "พอเอกซเรย์ปอดก็เจอฝ้าขาวๆ หมอจึงส่องกล้องดูปอด และพบชิ้นเนื้อ 2.4 เซนติเมตร และผลการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 ต้องผ่าตัดทันที ซึ่งตอนนั้นอึ้งไป ก่อนที่จะบอกข่าวร้ายกับคนในครอบครัว ทุกคนต่างก็งงและนิ่งอยู่ในภวังค์ ในตอนนั้นที่ผ่าตัดออกก็คิดว่าหายแล้ว แต่ยังต้องทำเคมีบำบัด ซึ่งมีผลข้างเคียงเยอะมาก จากนั้นก็พบหมอทุกๆ 2 เดือน จนหายดี"
       

       คุณสันห์ฉวีเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ก็แอบไปทำ CT สแกนที่เกาะสมุย และพบว่ามะเร็งกลับมาอีก แต่เพื่อความแน่ใจจึงไปตรวจอีกที่โรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างรอฟังผลจึงเดินทางมาขอประวัติที่โรงพยาบาลประจำในกรุงเทพฯ ในตอนนั้นตัวเองรู้สึกว่าเหนื่อยมาก
       
       จนในที่สุดมีคนแนะนำให้ไปตรวจที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพราะมีโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญด้านมะเร็งปอด และหมอก็ยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอดระยะแพร่กระจาย คือระยะที่ 4 และรักษายาก เพราะหมอเห็นว่าอาจจะไปที่สมอง และกระดูก
       
       "ตอนนั้นเริ่มทานยาได้เดือนกว่า สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ จึงปรึกษาเรื่องอาหารการกินแบบหมอเขียว และได้ตัดสินใจเข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับกับคุณชญาบุญ ตอนที่ร่างกายขับสารพิษออกมานั้นมีกลิ่นเหม็นมาก ซึ่งคนที่เป็นมะเร็งจะเหม็นทุกคน แต่เมื่อมันออกมาทุกคนต้องดีขึ้น
       
       เริ่มทำไป 2 ครั้ง แล้วก็ไปทำ CT สแกน ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีกรอบ โดยที่ไม่ได้บอกว่าไปทำอะไรมาบ้างนอกจากกินยา ซึ่งข่าวดีในตอนนั้นคือ มะเร็งที่ปอดหายไป จึงมองว่าการล้างพิษตับ อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกอีกหนึ่งทาง ที่ให้ประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจ" คุณสันห์ฉวีเล่า
       
       • แพทย์ให้ข้อคิดการล้างพิษเป็นการช่วยเหลือตับ
       
       ด้าน รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายถึงหน้าที่ของตับว่า ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีน้ำหนัก 2 เปอร์เซ็นของน้ำหนักตัว โดยจะมีเลือดผ่านทั้งหมด 13 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าชุ่มไปด้วยเลือด
       
       สำหรับคนปกติตับจะอยู่ชายโครงด้านขวา ทำหน้าที่ในร่างกาย 40 อย่าง และมีหน้าที่ย่อย 500 อย่าง และแน่นอนว่าสารพิษ อาหารที่เป็นพิษ ไขมัน ก็สะสมอยู่ในตับจำนวนมาก ดังนั้น หากสามารถล้างพิษออกมาจากตับได้ ตับก็จะมีหน้าที่ในการดูแลหรือสะสมพิษที่ยังคงค้างในร่างกายส่วนอื่นได้มากขึ้นอีก
       
       "กระบวนการล้างพิษด้วยการเริ่มต้นจากการอดอาหารนั้น สามารถอธิบายได้ว่า เพียงแค่การอดอาหารก็ถือว่าเป็นการปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน และเมื่อน้ำย่อยที่มาจากส่วนต่างๆไม่มีที่เก็บ ก็จะมาที่ถุงน้ำดี เมื่อกินน้ำมันมะกอกเข้าไปก็จะไปที่กระเพาะ และมีส่วนหนึ่งย้อนกลับมาที่ท่อน้ำดีเข้าไปในตับ พอน้ำมันมะกอกเข้าไปในถุงน้ำดี ก็จะไปดึงสิ่งต่างๆในถุงน้ำดีออกมา
       

       ดังนั้น ส่วนที่ถูกขับถ่ายออกมาในการล้างพิษ จะไม่ใช่ของเสียที่มาจากลำไส้ เพราะก่อนหน้านั้นได้สวนล้างลำไส้ให้สะอาดไปแล้ว"
       
       นายแพทย์สำเริงกล่าวต่อว่า สำหรับคนที่สงสัยว่าก้อนนิ่วจากการขับถ่ายออกมานั้น เป็นเพียงปฏิกิริยาจากการดื่มน้ำมันมะกอก ซึ่งไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะก้อนนิ่วเกิดจากตะกอนในร่างกายเองและต้องใช้เวลานาน
       
       แต่การที่ใช้น้ำมันมะกอกเข้าไปดึงก้อนนิ่วในถุงน้ำดีออกมาได้นั้น เพราะน้ำมันมะกอกจะทำหน้าที่ล้างน้ำมันในร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การดื่มน้ำมันมะกอกทุกวันจะมีประโยชน์ ควรดื่มแค่เดือนละ 1 ครั้งก็พอ
      "สำหรับการล้างลำไส้บ่อยไม่มีทางที่ลำไส้จะทะลุ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การสวนทวารอาจจะติดเชื้อได้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้น้อย ถ้าเราทำแบบถูสุขลักษณะก็จะไม่มีปัหา เพราะการที่ติดเชื้อได้นั้น เชื้อโรคต้องเข้าถูกที่ และจำนวนเชื้อมากพอ รุนแรงพอ ร่างกายอ่อนแอ และขาดสมดุลจึงจะติดเชื้อ
     ดังนั้น โทษของการล้างลำไส้อาจจะไม่มี แต่ความจำเป็นของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน หลายคนถามว่าถ้าไม่ดีท็อกซ์ได้ไหม คำตอบคือ ระบบขับถ่ายของคนเรามีความแตกต่างกัน ดังนั้น สามารถทานยาระบายชดเชยแทนได้"
       
       นายแพทย์สำเริงทิ้งท้ายว่า ทั้งนี้เพราะสารเคมีทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกาย ตับรับไปหมดเลย ตับของคนเราต้องทำหน้าที่อย่างหนักในแต่ละวัน ดังนั้น การล้างพิษตับก็นับเป็นการช่วยเหลือตับให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า เมื่อตับแข็งแรง ทุกอย่างในร่างกายก็จะดี เพราะตับสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ความบกพร่องในร่างกายลดลง สุขภาพแข็งแรงขึ้น เซลล์มะเร็งถูกทำลาย เป็นต้น
       
       อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายเป็นวิธีที่อยากแนะนำ แต่ต้องออกอย่างต่อเนื่อง และเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเรา
       
       • หลักสูตรการล้างพิษตับ (สูตรสั้น)ของ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ
       
       ก่อนล้างพิษ 1 วัน ให้อดอาหารก่อนเวลาบ่าย 3
       
       วันที่ 1
       เวลา 05.00 น. ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว และทำดีท็อกซ์
       เวลา 05.30 น. ออกกำลังกายตามที่ชอบหรือถนัด
       เวลา 06.00 น. ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพร
       เวลา 07.00 น. เวลาหิวให้ดื่มน้ำต่อไปนี้ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดก็ได้)
       น้ำแอปเปิ้ล 100% หรือน้ำปั่นแยกน้ำกาก
       • น้ำสับปะรด ปั่นน้ำแยกกาก
       • น้ำมะละกอดิบ+ห่าม หรือปั่นแยกน้ำแยกกาก
       • น้ำมะขาม+ น้ำผึ้ง+น้ำผักผลไม้
       • น้ำอ้อยสด + มะนาว
       เวลา 15.00 น. หยุดน้ำผลไม้ทุกชนิด ยกเว้นน้ำเปล่า
       เวลา 17.00 น. ดีท็อกซ์
       เวลา 18.00 น. ดื่มดีเกลือ 1 ช้อนชา ต่อน้ำครึ่งแก้ว
       เวลา 20.00 น. ดื่มดีเกลือ 1 ช้อนชา ต่อน้ำครึ่งแก้ว
       เวลา 22.00 น. ดื่มน้ำมะนาวและน้ำมันมะกอกบีบเย็น (Extra Virgin)ในอัตราส่วนดังนี้
       • น้ำมะนาว 150 ซีซี
       • น้ำมันมะกอก 150 ซีซี
       ผสมทั้งสองอย่างในขวดแก้ว เขย่าให้เข้ากัน ดื่มทันที ไม่ให้เกินเวลา 22.15 น.
       
       หลังดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว ให้ปฏิบัติดังนี้
       • นอนตะแคงขวา หรือนอนหงาย (หัวสูง)
       • ถ้ากลัวอาเจียน พยายามประคับประคองให้ผ่านเลยเวลา 02.00 น. หรืออาจใช้ถุงน้ำร้อนประคบที่ท้องช่วย (เพราะถ้าผ่านไปแล้ว น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวจะลงถึงตับแล้ว แต่ถ้าอาเจียนก่อนอาจต้องเริ่มต้นใหม่หมด)
       
       วันที่ 2
       เวลา 06.00 น. ตื่นนอนและทำธุระส่วนตัว ทำดีท็อกซ์
       เวลา 06.30 น. ออกกำลังกาย
       เวลา 07.00 น. ทำงานปกติ
       เวลา 10.30 น. ทำดีท็อกซ์ เก็บพิษทั้งหมดไว้ ตั้งแต่ 02.00 น.หรือถ่ายเองและรวมกับดีท็อกซ์
       
       หมายเหตุ : สูตรสั้นนี้สามารถทำ 1 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์ ไม่ควรเกินนี้
       
       หากผู้สนใจต้องการฟังการสนทนาเรื่องล้างพิษตับ ทางโครงการผู้จัดการสุขภาพได้จัดทำดีวีดีชุดนี้จำหน่ายในราคาชุดละ 89 บาท สอบถามรายละเอียดโทร. 0-2629-2211 ต่อ 1117,1118 และ 1151
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย ภาวิณี)


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   
Create By: Pal_Pitchapong 
The Shock Vol 3 ทางขึ้นดอย


รอบรู้โรคภัยน่ากลัว...เบาหวานลงไต



หากกล่าวถึงโรคเบาหวานแล้ว หลายคนอาจส่ายหน้าและรู้สึกกลัว แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ โรคแทรกซ้อนต่างๆที่ตามมา ที่ล้วนแต่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ และที่อยู่ในอันดับต้นๆคือ “โรคไตจากเบาหวาน” ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด “โรคไตวาย” เป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย
       
       ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โรคไตจากเบาหวานมาย่างกราย เราควรรู้เท่าทันเพื่อป้องกันครับ
       
       • เกิดขึ้นได้อย่างไรโรคไตจากเบาหวาน
       
       เมื่อเป็นโรคเบาหวานและไม่สามารถควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้ ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นระยะเวลานานก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อเซลล์ที่บริเวณอวัยวะต่างๆ เช่น ตา ระบบประสาทส่วนปลาย ไต หัวใจและหลอดเลือด
       
       สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไตจากเบาหวาน นอกจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจนเกิดอันตรายต่อเซลล์ที่ไตแล้ว ยังทำให้เกิดความดันในหลอดเลือดฝอยในไต และอัตราการกรองของไตสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อไต
       
       • โรคไตจากเบาหวานแบ่งได้เป็น 5 ระยะ
       
       ระยะที่ 1 และ 2
       อาจไม่มีอาการ หรือมีเพียงอาการที่เกิดจากโรคเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย ถ้าตรวจอัตราการกรองของไตจะพบว่าสูงขึ้นกว่าคนปกติร้อยละ 20 - 40 ขนาดของไตอาจใหญ่ขึ้น การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต (ครีอะตินีนในเลือด) จะพบว่าปกติ ตรวจปัสสาวะอาจพบน้ำตาลในปัสสาวะ แต่ไม่พบอัลบูมินในปัสสาวะ หรือพบน้อยกว่า 30 มิลลิกรัมต่อวัน
       
       ระยะที่ 3
       พบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เป็นเบาหวานมานานกว่า 5 ปี ส่วนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อาจพบได้ตั้งแต่เริ่มตรวจเจอว่าเป็นเบาหวาน การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ เริ่มตรวจพบอัลบูมินในปัสสาวะ อยู่ในช่วง 30 - 300 มิลลิกรัมต่อวัน
       
       ถ้าตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไตพบว่าปกติ ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ระยะนี้เรียกว่า microalbuminuria ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดีอาจมีการเปลี่ยนกลับไปเป็นระยะที่ 2 ได้ ในทางกลับกันถ้าการดูแลรักษาไม่ดี ร้อยละ 50 - 80 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และร้อยละ 20-40 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีการดำเนินของโรคไปสู่ระยะที่ 4
       
       ระยะที่ 4
       จะพบอัลบูมินในปัสสาวะมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน การตรวจเลือดอาจพบว่าครีอะตินีนสูงกว่าปกติซึ่งแสดงว่าการทำงานของไตลดลง ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูง ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดี อัลบูมินในปัสสาวะอาจลดลงหรือหายไปได้และสามารถชะลอการเสื่อมของไตได้ แต่ถ้าการดูแลรักษาไม่ดี การทำงานของไตจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนเกิดไตวายได้ ร้อยละ 20-50 ในระยะเวลา 5 - 10 ปี ระยะนี้เรียกว่า macroalbuminuria
       
       ระยะที่ 5
       ระยะนี้การทำงานของไตลดลงจนเป็นไตวาย จะมีปัสสาวะน้อย บวมตามร่างกาย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
       

       หมายเหตุ ** อัลบูมิน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกาย
       
       • การป้องกันและดูแลโรคไตจากเบาหวาน
       
       1. ควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยมีระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C ) น้อยกว่าร้อยละ 7 การควบคุมน้ำตาลสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไตจากเบาหวาน ลดปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะ นอกจากนี้ยังช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
       
       2. ควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท โดยจำกัดเกลือที่รับประทานให้น้อยกว่า 2 กรัมต่อวัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม ในกรณีที่ใช้ยาลดความดันโลหิตควรใช้กลุ่ม ACEI หรือ ARB เป็นอันดับแรก
       
       ประโยชน์ของการควบคุมความดันโลหิต คือ ช่วยลดการเกิดโรคไตจากเบาหวาน ลดปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะ ช่วยชะลอการเสื่อมของไต ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
       
       3. ควบคุมไขมันไม่ดีชนิดแอลดีแอล (LDL) ให้น้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ในผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง การควบคุมไขมันไม่ดีชนิดแอลดีแอลช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดอัลบูมินในปัสสาวะและอาจชะลอการเสื่อมของไต
       
       4. จำกัดโปรตีนในอาหาร อาจช่วยชะลอการเสื่อมของไต โดยปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม คือ 0.8 กรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถขอคำปรึกษากับนักกำหนดอาหารหรือแพทย์ในสถานพยาบาลที่ท่านรักษา เพื่อขอคำแนะนำปริมาณโปรตีนตามที่เหมาะสม
       
       5. เลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะหากยังดื้อสูบต่อไป จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตจากเบาหวานและทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น แถมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
       
       6. ระมัดระวังการรับประทานยาแก้ปวดลดการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAID) เพราะอาจทำให้เกิดไตวายหรือการทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไตจากเบาหวานที่มีการทำงานของไตลดลงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา
       
       7. ถ้ามีอาการผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะแสบขัด ภาวะเหล่านี้อาจซ้ำเติมให้โรคไตจากเบาหวานแย่ลง
       

       จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเราสามารถป้องกันไม่ให้ป่วยได้ เพียงแค่ควบคุมดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะส่งผลให้กลายเป็นโรคโตจากเบาหวาน เพราะโรคไตจากเบาหวานเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน อีกทั้งอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูง โดยเฉพาะเมื่อเกิดไตวาย ต้องฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้องซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 20,000 - 30,000 บาทต่อเดือน
       
       อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน สามารถลดโอกาสที่จะเกิดโรคไตจากเบาหวานได้ ถ้าได้รับการรักษาและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องครับ
       
       ความเสี่ยงต่อชีวิต!!...ที่ผู้ป่วยโรคไตจากเบาหวานไม่ควรทำ
       
       • ละเลยที่จะไปพบแพทย์ตามนัด ปล่อยให้การรักษาขาดช่วง
       
       • ไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น ไม่ควบคุมอาหาร รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ
       
       • รับประทานยาหม้อ ยาสมุนไพร เพื่อรักษาโรคเบาหวาน และ/หรือโรคไตโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย อ.นพ.ไพฑูรย์ ขจรวัชรา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   
Create By: Pal_Pitchapong 





ก้อนเล็กๆ เหลืองๆ เหม็นๆ ในคอ มันคืออะไร...เอมอร คชเสนี



   ใครเคยมีประสบการณ์ ก้อนเล็กๆ สีขาวนวลหรือเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นเหม็นๆหลุดออกมาจากในคอบ้างไหมคะ คนที่เคยประสบพบเจออาจจะนึกสงสัยว่าร่างกายของเรามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เจ้าก้อนเล็กๆ เหลืองๆเหม็นๆที่ว่านี้ มันคืออะไร วันนี้เรามีคำตอบค่ะ
       
       เจ้าก้อนปริศนานี้มาจากต่อมทอนซิล ดังนั้น ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับต่อมทอนซิลกันก่อน ต่อมทอนซิล คือ ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณด้านข้างลำคอตรงโคนลิ้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำหน้าที่คอยดักจับเชื้อโรค
       
       ปกติต่อมทอนซิลจะมีร่องหรือซอกหลืบ ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปติดอยู่ได้ นอกจากนั้น เซลล์ที่บุร่องหรือซอกนั้น อาจตายแล้วหลุดลอกออกมา แล้วมีแบคทีเรีย เม็ดเลือดขาว และเอนไซม์ในน้ำลายเข้าไปย่อยสลาย จนเกิดเป็นสารลักษณะคล้ายก้อนแป้งอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล เมื่อสะสมไว้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งขึ้น ทางการแพทย์เรียกเจ้าก้อนนี้ว่า นิ่วทอนซิล (Tonsilloliths หรือ Tonsil Stones)
       
       ปัญหาดังกล่าวพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ผู้ที่มีเจ้าก้อนเล็กๆนี้ติดอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล อาจรู้สึกรำคาญ เหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ และอาจทำให้มีกลิ่นปาก ในบางรายอาจทำให้มีอาการเจ็บคอเป็นหายๆ หรืออาจทำให้กลืนลำบากหากมีขนาดใหญ่มากๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของนิ่วทอนซิลด้วย นอกจากนี้อาจทำให้ต่อมทอนซิลโต ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือมีอาการปวดร้าวไปที่หูได้
       
       วิธีการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและอาการต่างๆที่เป็นผลมาจากนิ่วทอนซิล รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แนะนำวิธีการแก้ปัญหานิ่วทอนซิลไว้ว่ามี 2 วิธีด้วยกัน คือ วิธีไม่ผ่าตัดและวิธีผ่าตัด
   วิธีไม่ผ่าตัด
       

       -  กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ การกลั้วคอแรงๆอาจช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา นอกจากนี้ น้ำเกลือยังช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากทอนซิลอักเสบ ซึ่งอาจเกิดร่วมกับนิ่วทอนซิลอีกด้วย
       
       -  ใช้ไม้พันสำลี แปรงสีฟัน หรือไม้แคะหูที่สะอาด และไม่มีคม ค่อยๆ เขี่ยหรือกดบริเวณต่อมทอนซิล วิธีนี้ควรทำอย่างเบามือและระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจเกิดการบาดเจ็บได้
       
       -  ตัดเล็บและล้างมือให้สะอาด แล้วใช้นิ้วมือค่อยๆ ดันบริเวณส่วนล่างของต่อมทอนซิลขึ้น เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา
       
       -  ใช้ที่พ่นน้ำทำความสะอาดช่องปาก (water pick) ฉีดบริเวณต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออก
       
       -  ใช้นิ้วมือนวดใต้คางบริเวณมุมขากรรไกรล่าง ซึ่งตรงกับตำแหน่งของต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา
       
       อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมาเสมอไป ขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและตำแหน่งของซอกหลืบนั้นด้วย แต่ปกติแล้วเมื่อก้อนในร่องของต่อมทอนซิลมีขนาดใหญ่กว่าที่ร่องจะรับได้ ก็อาจหลุดออกมาเอง หรือบางครั้งเมื่อไอหรือขากเสมหะแรงๆ เจ้าก้อนนี้ก็อาจหลุดออกมาได้เองเช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นบ่อยๆ รำคาญมากๆ หรือมีปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ แพทย์อาจแนะนำวิธีผ่าตัด
       
       วิธีผ่าตัด
       
       วิธีแรก คือ การใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid) หรือการใช้เลเซอร์ (Laser Tonsillotomy) จี้ต่อมทอนซิลเพื่อเปิดขอบร่องของต่อมทอนซิลให้กว้าง ไม่ให้มีซอกหลืบที่จะเป็นที่สะสมของสิ่งต่างๆ ได้อีก
       
       อีกวิธีหนึ่ง ก็คือ การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอและกลืนลำบากอย่างน้อย 2-3 วันหลังการผ่าตัด วิธีนี้เป็นการรักษาที่หายขาด แต่มักจะทำในกรณีที่ใช้วิธีแรกแล้วไม่ได้ผล
       
       คงจะหายสงสัยกันแล้วว่าเจ้าก้อนปริศนานี้ คืออะไร นิ่วทอนซิลที่มีขนาดเล็กและไม่ก่อปัญหาใดๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรักษา การใช้อุปกรณ์ใดๆ ที่ไม่สะอาดหรือมีคมเข้าไปล้วงแคะ อาจยิ่งก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า แต่ถ้าหากรู้สึกว่านิ่วทอนซิลของคุณก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ก็สามารถปรึกษาแพทย์ได้ค่ะ
       
       
       ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
       ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลา 11.00-12.00 น.
       ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
       และ www.managerradio.com


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   
Create By: Pal_Pitchapong 
The Shock FM เรื่อง บ้านเฮี้ยนเรือนไทย



แยกสเต็มเซลล์บริสุทธิ์จากน้ำคร่ำ



ดร.ทัศนีย์ เพิ่มไทย
       ภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา
       
       ว่าไปแล้วสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิด เป็นความหวังของการรักษาโรคที่ชาวโลกต่างรอคอยความสำเร็จในการพบวิธีการเก็บสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำที่เหมาะจะใช้ปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยโดยไม่กังวลเรืองความบริสุทธิ์กับการเกิดก้อนเนื้องอกในภายหลัง ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของโลกและเป็นความหวังที่ใกล้ความจริงสำหรับการรักษาโรคในอนาคต
   นักวิจัยจากภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยถึงความสำเร็จของการแยกสเต็มเซลล์บริสุทธิ์จากน้ำคร่ำจนมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วยได้ ว่าสเต็มเซลล์ชนิดนี้มีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าสเต็มเซลล์ตัวเต็มวัยชนิดอื่น ที่นอกจากสามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ร่างกายได้หลายชนิดแล้วยังสามารถแบ่งเซลล์ได้ดีมากโดยสามารถแบ่งตัวจากหนึ่งเซลล์เป็นหลายแสนล้านเซลล์โดยใช้เวลาไม่นาน และยังมีข้อดีที่เซลล์มีความอ่อนวัยมากจึงไม่แสดงภูมิคุ้มกันที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ไม่มีปัญหาการต่อต้านและปฏิเสธจากร่างกายเมื่อนำ สเต็มเซลล์ชนิดนี้ไปใช้ปลูกถ่ายรักษาโรคให้แก่ผู้อื่น
       
       การแยกสเต็มเซลล์บริสุทธิ์จากน้ำคร่ำนี้ จะใช้น้ำคร่ำจากหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องเจาะเก็บน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซมดูความปกติของทารกในครรภ์อยู่แล้ว ซึ่งมีอายุครรภ์ 4 เดือน เพราะเป็นช่วงอายุครรภ์ที่มีความปลอดภัยต่อแม่และเด็กและมีน้ำคร่ำมากพอ โดยการคัดแยกสเต็มเซลล์นั้นจะใช้น้ำคร่ำในปริมาณเพียง 1-2 มิลลิลิตร เท่านั้น ซึ่งในน้ำคร่ำนั้นจะมีเซลล์หลายชนิดลอยปะปนอยู่จำนวนมาก ซึ่งพบสเต็มเซลล์อยู่เพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
       
       ข้อดีของกรรมวิธีการคัดแยกสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำด้วยวิธีนี้ คือ การใช้หลักความเข้าใจพื้นฐานด้านเซลล์วิทยามาพัฒนาเป็นวิธีการที่ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีและเครื่องมือราคาแพงจากต่างประเทศ แต่สามารถ ได้สเต็มเซลล์คุณภาพดีมีความบริสุทธิ์สูง และได้ปริมาณที่เพียงพอในเวลาอันสั้น โดยจะทำการเลือกสเต็มเซลล์คุณภาพดีทีสุดเพียงหนึ่งเซลล์มาใช้เป็นเซลล์เริ่มต้น ซึ่งจะได้ภายในเวลา 3 วันแรก จากนั้นเพาะเลี้ยงจากหนึ่งเซลล์ให้เพิ่มขึ้นเป็นแสนล้านเซลล์ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ การจัดหาสเต็มเซลล์คุณภาพดีได้อย่างไม่จำกัดและใช้เวลาเพียงสั้นๆนี้ จะเป็นผลดีต่อการค้นคว้าวิจัยต่อยอด และสำหรับการนำมาใช้รักษาคนไข้ในอนาคต เพราะการนำสเต็มเซลล์มาใช้เพื่อรักษาโรคนั้นต้องใช้สเต็มเซลล์จำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล้านเซลล์ในแต่ละครั้ง
       
       ทั้งนี้ ศิริราชมีแนวคิดใช้เพื่อการรักษาในหลายโรค โดยขณะนี้กำลังวิจัยคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยกำลังศึกษาทดลองใช้รักษาในสัตว์ทดลองที่เป็นโรคดังกล่าว ซึ่งหากพบว่าได้ผลดี จะทำการทดลองในคนต่อไป คาดว่าภายใน 1 ปี น่าจะเห็นผลการทดลอง อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถคาดเดาผลการทดลองได้ 100 เปอร์เซ็นต์
    นอกจากนี้ กำลังศึกษาวิจัยหาวิธีการเลี้ยงสเต็มเซลล์ให้บริสุทธิ์จากโปรตีนสัตว์ เพื่อแก้ปัญหาการปฏิเสธเซลล์ที่พบ เนื่องจากปัจจุบันนี้อาหารเลี้ยงเซลล์ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกมีส่วนผสมจากเลือดลูกวัวในท้องแม่วัว ทำให้มีโปรตีนสัตว์เกาะที่ผนังเซลล์ ซึ่งเมื่อนำเซลล์ไปปลูกถ่าย ร่างกายมนุษย์อาจต่อต้านโปรตีนสัตว์ดังกล่าว จึงได้ทดลองใช้เลือดจากสายสะดือที่ทิ้งภายหลังคลอดมาใช้ พบว่าได้ผลดีมาก จึงเตรียมขยายการทดลองต่อไป


   การแยกสเต็มเซลล์บริสุทธิ์จากน้ำคร่ำ เป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ซึ่งมีแผนก้าวต่อไปเพื่อจะจัดเก็บสเต็มเซลล์บริสุทธิ์เหล่านี้ให้เป็นระบบด้วยการจัดตั้งธนาคารสเต็มเซลล์ที่ได้จากการตั้งครรภ์ โดยที่คณะวิจัยมีโครงการจัดตั้งธนาคารสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำ รก และสายสะดือ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีแหล่งสำรองสเต็มเซลล์สำหรับการวิจัยและรักษาคนไข้ได้อย่างไม่จำกัดในอนาคต
       
       พบกิจกรรมดีๆที่ศิริราช
       
       คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญร่วมยินดีและเป็นเกียรติแก่ รศ.นพ.ทวี เลาพันธ์ ที่ได้รับรางวัลปาฐกถาสุด แสงวิเชียร ประจำปี 2555 สาขาแพทยศาสตร์ศึกษา พร้อมแสดงปาฐกถา เรื่อง “การพัฒนาการจัดการศึกษาการแพทย์แผนไทยประยุกต์” ในวันพุธที่ 21 พ.ย. นี้ เวลา 13.30 น. ณ อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 รพ. ศิริราช


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   
Create By: Pal_Pitchapong 




อยากอายุยืนกินไฟเบอร์สิ



   สารอาหารที่จำเป็นไม่ใช่แค่ 5 หมู่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงไฟเบอร์ที่คุณขาดไม่ได้อีกด้วย และนี่คือ 15 อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์
ทำไมคุณจึงต้องกินไฟเบอร์

   ไฟเบอร์จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ และปกป้องคุณจากริดสีดวงทวาร ถ้าเราบอกว่าไฟเบอร์เป็นยาอายุวัฒนะก็อาจจะไม่ผิดนัก แต่ปัญหาคือเรามักจะกินไฟเบอร์กันไม่พอน่ะสิ โดยผู้หญิงเราควรได้รับไฟเบอร์อย่างน้อย 25 กรัมต่อวัน ส่วนผู้ชายนั้นอยู่ที่ 35-40 กรัม แต่คนทั่วไปจะกินกันแค่ 15 กรัมเท่านั้น (ไม่นับอาหารที่มีการใส่ไฟเบอร์เสริม)

1.ถั่วขาว นอกเหนือจากไฟเบอร์ โปรตีน และธาตุเหล็กแล้ว ถั่วขาวยังเป็นหนึ่งในแหล่งโพแทสเซียมตามธรรมชาติที่ดีที่สุด โดยเพียงถ้วยเดียวจะให้ร้อยละ 25 ของโพแทสเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน อย่างไรก็ดี หากคุณเป็นห่วงเรื่องแก๊สมาก เทคนิคก็คือ อย่ากินไฟเบอร์ทีเดียวเยอะ ๆ ค่อย ๆ เพิ่มในแต่ละวันดีกว่าเพื่อให้ระบบย่อยอาหารเคยชิน

2.ข้าวโพด เราคุ้นเคยกับข้าวโพดสีเหลืองกันดี แต่อาจจะลองกินข้าวโพดสีม่วง หรือสีดำก็ไม่ว่ากัน ข้าวโพดหนึ่งฝัก (หรือประมาณครึ่งถ้วย) จะมีไฟเบอร์ประมาณ 2 กรัม จะกินเป็นป๊อปคอร์นแทนก็ได้ แต่ต้องระวังไม่ใส่เนย น้ำตาล หรือเกลือมากเกินไป ป๊อปคอร์นจะให้ไฟเบอร์ประมาณ 3.5 กรัม ต่อปริมาณสามถ้วย

3.ถั่วดำ ในหนึ่งถ้วยจะให้ไฟเบอร์กับโปรตีนมากถึง 15 กรัม สีที่เข้มของมันยังบ่งบอกว่า มีฟลาวานอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากอีกด้วย

4.ถั่วแระ คือถั่วเหลืองอ่อนๆที่ต้มทั้งฝักนั่นเอง โดยถั่วแระครึ่งถ้วยจะให้โปรตีนถึง 11 กรัม และไฟเบอร์อีก 9 กรัม

5.ข้าวกล้อง หาก คุณกินแต่ข้าวขาวอย่างเดียว คุณอาจไม่คุ้นกับข้าวกล้อง แต่ลองกินดูเถอเพราะข้าวกล้องอาจมีใยอาหารสูงถึง 3.5 กรัม/ถ้วย นอกจากนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังพบว่า การกินข้าวขาวนั้นอาจจะทำให้ความเสี่ยงเป็นเบาหวานประเภทสองสูงขึ้นถึง 17% แต่การกินข้าวกล้อง 2 หน่วยบริโภค/สัปดาห์ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ 11%

6.สาลี่ เช่นเดียวกับผลไม้อื่น ๆ ที่มีเปลือกกินได้ สาลี่ และลูกแพรจะมีสารอาหารและไฟเบอร์สูงสุดเมื่อกินพร้อมเปลือกโดยผลขนาดกลางอาจ ให้ไฟเบอร์ถึง 5.5 กรัม

7.ขนมปังโฮลวีต เพราะ ขนมปังสีขาวนั้นถูกขัดเอาจมูกและธัญพืชออกไปหมดแล้ว ทำให้ไม่เหลือสารอาหารกับไฟเบอร์ การเปลี่ยนจากขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีตทั้งหมดจะช่วยเรื่องปริมาณไฟเบอร์ใน ระยะยาวได้มากทีเดียว

8.บร็อกโคลี่ เป็นที่รู้จักกันดีเรื่องคุณสมบัติต้านโรคมะเร็ง บร็อกโคลี่มีไฟเบอร์อยู่มากมาย คุณจะได้รับไฟเบอร์สูงถึง 5.1 กรัมต่อบร็อกโคลี่ 1 ถ้วย

9.ข้าวโอ๊ต เพราะ ข้าวโอ๊ตมีเบต้ากลูแคน ไฟเบอร์ชนิดพิเศษ ซึ่งมีข้อดีคือช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังมีไฟเบอร์ทั้งแบบละลายน้ำ (ช่วยลดความดันโลหิต) และไฟเบอร์แบบไม่ละลายน้ำ (ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานตามปกติ)

10.ถั่วแดง ลองหุงถั่วแดงกับข้าวแล้วคุณจะรู้ว่าความอร่อยแบบง่าย ๆ มีจริง แม้จะหาได้ง่าย แต่ถั่วแดงก็ให้สารอาหารที่จำเป็นคือ ไฟเบอร์ โปรตีน และธาตุเหล็ก

11.แอปเปิ้ล เช่น เดียวกับลูกแพร ประโยชน์ส่วนใหญ่ของแอปเปิ้ลนั้นแทรกอยู่ในผิว คุณต้องไม่ปอกเปลือก เพื่อที่จะให้ได้รับไฟโตเคมีสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยแอปเปิ้ลผลขนาดกลางจะให้ไฟเบอร์ถึง 4.4 กรัม

12.อะโวคาโด เนื้อครีมของอะโวคาโดเป็นแหล่งของใยอาหาร เพียงแค่ 2 ช้อนโต๊ะเท่านั้นจะให้ไฟเบอร์มากถึง 2 กรัม และในอะโวคาโดหนึ่งผลอาจให้ไฟเบอร์ถึง 10 กรัม แถมด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจได้อีกต่างหาก

13.ราสป์เบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง หรือม่วงเข้ม ราสป์เบอร์รี่ก็มีสารอาหารอยู่มากมาย นอกเหนือจากจะให้ไฟเบอร์ปริมาณที่สูงมาก ประมาณ 1 ถ้วยจะให้ไฟเบอร์ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันแล้ว นอกจากนี้ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย ข้อดีก็คือ ราสป์เบอร์รี่แช่แข็งก็มีประโยชน์พอ ๆ กับของสดจ้า

14.ข้าวบาร์เลย์ เป็นที่รู้จักกันในฐานะวัตถุดิบของเบียร์วิสกี้ แต่ข้าวบาร์เลย์ก็เหมาะกับโยเกิร์ต หรือน้ำเต้าหู้เหมือนกัน โดยมีการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า คนที่กินข้าวบาร์เลย์เป็นอาหารเช้าจะอิ่มยาวไปถึงมื้อกลางวันมากกว่าคนที่ กินข้าวขัดสีธรรมดาด้วย

15.อัลมอนด์ เช่น เดียวกับถั่วและเมล็ดพืชอื่น ๆ ที่กินได้ อัลมอนด์เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ไขมันที่มีประโยชน์ และโปรตีน อย่างไรก็ดี ถั่วชนิดนี้มีแคลอรี่สูงมาก ดังนั้น จึงต้องระวังหน่วยบริโภคกันสักนิด ¼ ถ้วยจะให้ไฟเบอร์ประมาณ 3 กรัม แต่ก็มีแคลอรี่สูงถึง 170 แคลอรี่

Tip : น้ำ ผลไม้อาจจะมีกากใยอยู่ก็จริง แต่ผลไม้สดนั้นย่อมดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น น้ำส้ม อาจให้พลังงานถึง 110 แคลอรี่ แต่ส้มจะให้พลังงานน้อยกว่า แถมยังอิ่มนานกว่าด้วยนะ...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ :  :ProDen Professional Dental Care
Create By: Pal_Pitchapong
รายการ The Shock On TV ย้อนหลัง วันที่ 16 8 2011




จัมโบเจ็ตจีน C919 ได้ยอดสั่งซื้ออีก 50 ลำ

เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ 150 ที่นั่ง รุ่น C919 ในงานจูไห่ แอร์โชว์ ครั้งที่ 8 ปี 2553 จัมโบเจ็ตจีนC919 นี้ จะเหินฟ้าเที่ยวบินแรกในปี 2557 โดยขณะนี้มียอดสั่งซื้อ 380 ลำแล้ว (แฟ้มภาพ ซินหวา)
จัมโบเจ็ตจีน C919 ได้ยอดสั่งซื้ออีก 50 ลำ พร้อมชิงส่วนแบ่งตลาดกับโบอิ้ง แอร์บัส


เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์/เอเจนซี- จีนประกาศยอดสั่งซื้อเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ของจีน รุ่น Comac C919 มีเพิ่มเข้ามาใหม่อีก 50 ลำ ระหว่างเปิดนิทรรศการการบินนานาชาติ (China Airshow) ครั้งที่ 9 เมื่อวานนี้(12 พ.ย.) ที่เมืองจูไห่ มณฑลก่วงตง (หรือกวางตุ้ง) การประกาศยอดสั่งซื้อจัมโบเจ็ตจีนนี้ได้สร้างความคึกคักในวันเปิดงานไชน่าแอร์โชว์ พอๆ กับการแสดงเครื่องเครายุทโธปกรณ์ทางทหารใหม่ๆ ของจีน
       
       บริษัทผลิตเครื่องบินพาณิชย์ของจีน (Commercial Aircraft Corporation of China) หรือ COMAC ซึ่งเป็นวิสาหกิจรัฐ เป็นผู้ผลิตเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ 150 ที่นั่ง รุ่น C919 นี้ และได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมียอดสั่งซื้อ 300-400 เครื่อง ยอดสั่งซื้อล่าสุดนี้ได้ดันยอดสั่งซื้อ C919 เป็น 380 เครื่องแล้ว นับว่าบรรลุเป้าหมายของบริษัทผู้ผลิตฯ
       
       อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักวิเคราะห์ค่ายโลกตะวันตกกล่าวว่ายังต้องการใช้เวลาอีกเป็นปีๆกว่าที่จัมโบเจ็ตจีนจะได้แจ้งเกิดและอยู่รอดในตลาดการบินโลก ทั้งนี้ COMAC วางแผนออกเที่ยวบินแรกของC919 ในปี 2557 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า
       
       พญามังกรผลิตเครื่องจัมโบเจ็ต C919 โดยหวังที่จะชิงส่วนแบ่งตลาดการบินโลกที่มีมูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ท้าทายยักษ์ใหญ่ โบอิ้งแห่งสหรัฐอเมริกา และแอร์บัสแห่งฝรั่งเศส
       
       COMAC ยังเผยในวานนี้ว่าจะมีการลงนามสัญญาสั่งซื้อ C919 กับบริษัทสายการบินจีน ได้แก่ Joy Air และ Hebei Aviation โดยทั้งสอง จะสั่งซื้อ C919 รายละ 20 ลำ
       
       COMAC เผยว่า กลุ่มลูกค้าที่สั่งซื้อ C919 มิใช่เพียงกลุ่มสายการบินภายในของจีน ยังรวมถึงสายการบินโลว์คอสต์ของไอริช คือ Ryanair และสายการบินแดนผู้ดี British Airways โดยทั้งสองบริษัทได้เซ็นสัญญาสั่งซื้อแล้ว นอกจากนี้จะมีการเซ็นสัญญาชั่วคราว (provisional agreement) กับกลุ่มนักลงทุนที่เป็นตัวแทนของของ Eastern Air Linesซึ่งล้มละลายเมื่่อปี 2534 โดยมีข่าวว่า Eastern Air Lines จะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง
       
       สำหรับงานนิทรรศการการบินจีน หรือไชน่า แอร์โชว์ หรือที่บางคนเรียกว่า จูไห่ แอร์โชว์ เป็นงานฯที่จัดขึ้นสองปีครั้ง ในครั้งนี้เป็นครั้งที่มีผู้เข้าร่วมแสดงงาน 650 ราย ในงานยังมีการแสดงเครื่องบินพาณิชย์รุ่นใหม่ๆ ของจีน รวมทั้งแสดงแบบเครื่องบินเทคโนโลยีหลบหลีกเรดาร์ หรือสเตลท์ที่ผลิตโดยบริษัทจีน ซึ่งเป็นรุ่นที่จีนหวังส่งขายตลาดต่างแดน
       
       วารสารอุตสาหกรรมการบิน Aviation Week ชี้ว่า แบบสเตลท์เพื่อส่งออกของจีนนี้ หน้าตาคล้ายกับภาพเครื่องบินจากโรงงานเครื่องบิน Shenyang Aircraft ที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ ภาพดังกล่าวดึงดูดความสนใจจากกลุ่มวิเคราะห์และสื่อทางการทหารมาก


เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ 150 ที่นั่ง รุ่น C919 ในงานจูไห่ แอร์โชว์ ครั้งที่ 8 ปี 2553 จัมโบเจ็ตจีนC919 นี้ จะเหินฟ้าเที่ยวบินแรกในปี 2557 (แฟ้มภาพ ซินหวา)
ภาพกราฟิกแสดงเครื่องเคราเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ C919 ที่ผลิตโดยบริษัทจีน C919 เป็นไฮไลท์หนึ่งของงานนิทรรศการการบินนานาชาติจีน หรือ จูไห่ แอร์โชว์ ครั้งที่ 9 ที่จัดระหว่างวันที่ 13-18 พ.ย.นี้ ในงานยังได้นำ C919 รุ่นใหม่ที่จะผลิตออกมาเพื่อเจาะตลาดต่างแดนมาโชว์ด้วย (ภาพ เอเจนซี)
ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Justin Bieber, Gold Price in India