วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แมงลักช่วยล้างพิษ


   แมงลักช่วยได้ ใครรู้บ้างว่าตัวเองแบกอุจจาระไปไหนต่อไหนกีกิโลกรัม?
หมอพรทิพย์เคยผ่าศพพบอุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพมีอุจจาระน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัม มันตกค้างอยู่ได้อย่างไร

“อุจจาระตกค้าง ” อุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2.. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า

ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุด แต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ

ในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ


“นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล”

การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้ สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน
เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา 

คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของแมงลักกันบ้างค่ะ ว่าพืชพันธุ์ผลไม้ของไทย จะมีสรรพคุณดีๆอย่างไรกันบ้าง

ใครที่ชอบทาน "แมงลัก"ทราบถึงประโยชน์หรือไม่ วันนี้มีเกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

"แมงลัก" เป็นผักสวนครัว ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่รู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสด ๆ คู่กับขนมจีนน้ำยา เป็นต้น

ประโยชน์ของ ใบแมงลัก คือ ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือ โรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย

ส่วนเม็ดแมงลักก็มีสรรพคุณ คือ มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย

วิธีรับประทานก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่าง ๆ ก็ได้

ข้อควรระวัง จะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกินไม่เช่นนั้น แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาทานแมงลักกัน เพื่อสุขภาพที่ดี

เครดิต: Lemonglass Closet


ชีวอโรคยา 

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยิ่งใหญ่ยาว สาวยิ่งติด จริงหรือ...



คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN Sexociety

คิดว่ามิตรรักนักเพลงผู้มีดนตรีในหัวใจหลายคนคงเคยได้ฟัง และซาบซึ้งกับเพลง ยิ่งสูงยิ่งหนาว ของน้าเต๋อ เรวัต พุทธินันท์ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
       
       ในบทเพลงนี้ มันมีวลีคมกริบอยู่ท่อนหนึ่งที่ว่า “ใหญ่เกินไป ไม่มีใครเอา” นัยว่า เพื่อเป็นการเตือนผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้อยากใหญ่ทั้งหลาย ให้พึงสังวรณ์ไว้ว่า แท้จริงแล้ว ความใหญ่ไม่ใช่จะดีโด่อะไรหรอก ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าไร เพื่อนฝูงก็น้อยลงเท่านั้น จะเป็นเพราะพวกเขาเข้าถึงคุณได้ยากขึ้น หรือคุณ ‘เข้าถึง’ พวกเขาได้ลำบากขึ้นก็แล้วแต่เถอะ มันทำให้มีคนอยากคบคุณน้อยลงก็แล้วกัน คุณว่ามั้ย (ถามลุงป๊อกดูก็ได้)
       
       อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงนัยยะทางสังคมวิทยาพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น แต่มันก็สอดคล้องอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับนัยยะทางสังคมเพศวิทยาเช่นกัน - ไอ้เรื่องความใหญ่หรืออยากใหญ่ของเครื่องเพศ (ชาย) นี่แหละ
       
       ผู้ชาย (เต็มแมน) แทบทุกคน ล้วนอยาก ‘ใหญ่’ ด้วยกันทั้งนั้น ด้วยความเชื่อที่บอกต่อกันมาว่า “ยิ่งใหญ่ยาว สาวยิ่งติด” จะถูก-ผิดอย่างไร ขอ “ใหญ่” ไว้ก่อน
       
       ดังนั้น บรรดาแมนต๊อกต๋อยทั้งหลายที่เกิดมามีอาวุธประจำกายที่มีคาลิเบอร์ (Caliber หมายถึง ขนาดของลำกล้องปืน) เล็กกว่ามาตรฐานชายไทย จึงถูกกล่าวหาว่าเป็น “บุรุษอาภัพ” บ้างละ เป็น “ม้าแคระ” บ้างละ ซึ่งจะไม่เป็นที่เสน่หาของสตรีเพศ
       
       ด้วยความเชื่อมั่นเช่นนี้เอง ที่ทำให้บุรุษร่างเล็กทั้งหลาย พากันขวนขวายหาทางทำตัวให้ใหญ่สมอยากให้ได้ทุกวิถีทาง เช่น การบริหารร่างกาย (ส่วนนั้น) ด้วยเครื่องปั๊มดูด (แบบเดียวกับปั๊มดูดน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนนั่นแหละ) หรือถ้าเป็นพวกฮาร์ดคอร์ (แปลว่า ใจถึง แต่พึ่งไม่ค่อยได้) ก็โน่นเลย ฉีดซิลิโคนขยายขนาดแบบใหญ่ด่วนตรงประเด็น ..จะเอาขนาด M79 หรือ RPG ก็ว่ามา หมอกระเด็นทำให้ได้ทั้งนั้น
       
       แล้วเป็นไง ใส่ก็ไม่เข้า แถมเน่าอีกต่างหาก ต้องตัดทิ้งน่ะสิคุณพี่
       
       ส่วนพวกนักเพาะกายที่ต้องการขยาย “กล้าม” ของตัวเอง ก็โดนดูด (แบบบ๊วบๆ) ฟรี อยู่ตั้งนาน “กล้าม” ก็ไม่โตขึ้นแต่ประการใด แม้จะยอมทนแสบด้วยน้ำมันมวยที่ช่วยนวดกล้ามแล้วก็ตาม
       
       เพราะองคชาติของผู้ชายนั้น พ่อแม่ให้มาเท่าไร มันก็ได้แค่นั้น คุณไม่อาจเพิ่มขนาดอย่างเป็นธรรมชาติด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น คุณโดนต้มตุ๋นก็เพราะความโลภของคุณนี่แหละ
       
       อย่างไรก็ดี ขนาดของ “เจ้าโลก” ยังเป็นเรื่องสำคัญเสมอมา สำคัญขนาดไหน? ก็ขนาดถูกบรรจุอยู่ในตำราโหงวเฮ้งก็แล้วกัน
       
       ตำราดังกล่าว ระบุว่า ชายใดจมูกโตย่อมหมายถึง “ไอ้ใบ้” โตด้วย
       
       คนอย่าง สรพงษ์ พระเอกใจบุญ หรือ โน้ส ขี้อำ คงปลื้มกับตำรานี้ ที่ได้โชว์ความยิ่งใหญ่อลังการบนใบหน้า ให้ชาวประชาได้รู้กันจะจะ
       
       ตำราของฝรั่งบางประเทศ ก็บอกว่า ชายใดมือใหญ่ ชายนั้น ค.ใหญ่ เช่นกัน
       
       พอจะเห็นรึยังว่า มนุษย์ผู้ชายทั้งโลกให้ความสำคัญกับขนาดของ ‘น้องชาย’ ตัวเองแค่ไหน
       
       แต่ขอประทานโทษ ตำราที่ว่าเหล่านี้เป็นเรื่องทางสถิติเท่านั้น จริงบ้างหรือไม่จริงบ้าง เป็นความบังเอิญมากกว่า
       
       ไม่เคยมีหลักฐานทางการแพทย์เลยว่า ขนาดของจมูกหรือขนาดของมือ มีความสัมพันธ์ใดๆกับขนาดของ “package” ตัวดีของคุณ
       
       ยังไม่หมด บางตำรายังกล่าวถึงเท้าของคุณด้วยว่า ใครเท้าใหญ่ แปลว่า คนนั้นมีเอ็นท่อนใหญ่อย่างแน่นอน
       
       ร้อนถึงนักปัสสาวะวิทยา (Urologist) 2 ท่าน ต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่อง “เท้ากับเอ็น” นี้ ด้วยความไม่เชื่อในตำราดังกล่าว แล้วเผยแพร่ผลการวิจัยของท่านในวารสาร British Journal of Urology ว่า
       
       “จากการวัดความยาวขององคชาติของผู้ชาย 104 คน โดยเปรียบเทียบความสัมพันธ์กับขนาดรองเท้าของพวกเขา พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด”
       
       เพราะฉะนั้น “ไอ้ตีนโต” แห่งเทือกเขาหิมาลัย เลิกภูมิใจได้แล้ว
       
       ไหนๆ ก็ไหนๆ เมื่อพูดถึงขนาดของมันกันแล้ว คุณจะรู้ได้ไงว่า ของคุณ ‘ใหญ่’ หรือ ‘เล็ก’ กันแน่
       
       ก็ต้องดูที่ขนาดมาตรฐานสากลกันเลย
       
       The Kinsey Report ปี1948 รายงานว่า องคชาติขนาดมาตรฐานมีความยาวเฉลี่ย 6.20 นิ้ว (15.25 ซม.) โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .77 นิ้ว (1.96 ซม.)
       
       การศึกษาวิจัยของ Wessells ปี1996 ระบุว่า ความยาวเฉลี่ยคือ 5.1 นิ้ว (13 ซม.)
     สำนักวิจัยอื่นๆ บอกว่า ความยาวเฉลี่ยคือ 5.7 นิ้ว (14.5 ซม.)
     จะเห็นได้ว่า “ไอ้นั่น” ของมนุษย์เราตัวเล็กลงเรื่อยๆอีก 100 ปีข้างหน้า อาจจะเหลือความยาวเฉลี่ยไม่ถึง 5 นิ้วก็ได้
       
       ขอแสดงยินดีกับ “บุรุษร่างเล็ก” ทั้งหลาย ที่คุณมีมาตรฐานสากลก่อนกาลเวลา
       
       อีกปัญหาหนึ่งกับ “บุรุษร่างเล็ก” ที่มักจะกังวลถึงการหดตัวของ “น้องชาย” ซึ่งเล็กอยู่แล้ว และอยากรู้เหลือเกินว่า มันหดได้ยังไง(วะ)
       
       ก่อนอื่น คุณควรรู้ว่า คนที่มีองคชาติขณะอ่อนตัว..สั้นกว่าค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.5 นิ้ว ของความยาวเฉลี่ยในวัยของตัวเองนั้น ทางการแพทย์ถือว่า เป็นขนาด “กะจิ๋วหลิว” ซึ่งอาจทำให้คุณไม่อยากยืนปัสสาวะร่วมกับคนอื่นในแถวโถฉี่สาธารณะ ต้องแอบเข้าไปชิ้งฉ่อง ในห้องส้วมที่มีประตูปิดมิดชิด
       แต่อย่าเพิ่งท้อแท้ เพราะขนาดขององคชาติอาจลวงตาเราได้
       
       อากาศเย็น น้ำเย็น ความกลัว หรือความวิตกกังวล สามารถทำให้เครื่องเคราทั้งพวงของคุณถูกดึงเข้าใกล้ร่างกายมากขึ้นได้ จึงดูเหมือนมันหดเหลือแค่กะจิ๋วหลิว
       
       ไม่ต้องตกใจ สภาวะอันอบอุ่น สามารถทำให้องคชาติของคุณยาวขึ้นได้ดังเดิมแต่ก็เฉพาะในยามปวกเปียกเท่านั้นนะ ขนาดของมันขณะแข็งขันจะเท่าเดิมไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะร้อนหรือเย็น
       
       ในเรื่องของขนาดอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือ ขนาดเล็กมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวมากกว่าขนาดใหญ่ เฉกเช่น ข้าวเจ้ากับข้าวเหนียว นั่นแล ตอนเป็นข้าวสารด้วยกันทั้งคู่นั้น..ข้าวเจ้ามีเม็ดเล็กกว่าข้าวเหนียว แต่พอหุงสุกแล้ว มันจะบานได้มากกว่าข้าวเหนียวอย่างเห็นๆ
       
       และด้วยเหตุที่ว่า ส่วนไวสัมผัสทางเพศของผู้หญิงนั้น อยู่ภายในและรอบๆ ส่วนหน้า ประมาณหนึ่งในสามของช่องคลอด ความใหญ่ยาวขององคชาติจึงไม่จำเป็นสำหรับการสร้างความพึงพอใจให้เธอ แถมยังอาจทำให้กระทบกระเทือนมดลูกของเธออีกต่างหาก
       
 เพราะฉะนั้น ใหญ่เกินไป ไม่มีใครเอาด้วยหรอก มันเจ็บนะคะ! 

      
       >> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   
Create By: Pal_Pitchapong 


หมูกระทะ มรณะ พิษร้าย...ภัยใกล้ตัว


   หลังจากเป็นภัยเงียบที่เล่าลือกันในหมู่นักกินมาช้านาน ล่าสุดหมูกระทะอาหารบุฟเฟต์ยอดนิยมในสังคมไทยก็แผลงฤทธิ์ หลังจากมีนักศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่จังหวัดเชียงใหม่ต้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อ
       
       สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่านักกินขาลุยอยู่ไม่น้อย จากที่ข่าวลือมากมายของภัยใกล้ตัวในร้านหมูกระทะที่กลายเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้างในวัฒนธรรมการกินบุฟเฟต์แบบร้านหมูกระทะ ที่ดูเหมือนความคุ้มค่าของปริมาณจะสำคัญกว่าความปลอดภัยของชีวิต
       
       4 ภัยเสี่ยงในร้านหมูกระทะ
       
       การกินบุฟเฟต์หมูกระทะนั้นเป็นที่นิยมมาก โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีชื่อการันตีถึงความคุ้ม จุใจ จากการเป็นบุฟเฟต์ที่กินได้ไม่อั้น รวมทั้งเมนูที่มีการพัฒนาให้หลากหลายซึ่งเกิดจากการแข่งขัน เพราะร้านหมูกระทะมีแทบจะทุกที่ เมื่อการแข่งขันมากขึ้น ราคาค่าหัวที่ถูกลง ยิ่งร้านส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารข้างทาง ไม่แปลกที่จะทำให้มีการตั้งข้อสังเกตถึงความปลอดภัยในร้านหมูกระทะกันมากขึ้น โดยทีมข่าว Live ได้รวบรวมกรณีภัยอันตรายเกิดขึ้นในร้านหมูกระทะ
       
       1.เนื้อปลาปักเป้า
       
       ช่วงต้นปีที่ผ่านมามีร้านหมูกระทะหลายร้านนำเนื้อปลาปักเป้ามาใช้แทนเนื้อไก่ จากปกติที่สาธารณสุขมีมาตรการห้ามจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าทุกชนิดและอาหารที่มีเนื้อปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม ดร.พูลทรัพย์ วิรุฬหกุล ผู้เชี่ยวชาญจากกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยว่า เนื้อปลาชนิดนี้มีสารพิษที่ทนความร้อนได้สูงมาก จนทำให้ไม่ถูกทำลายโดยความร้อน หากรับประทานไปแล้วจะเข้าไปทำลายระบบกล้ามเนื้อประสาท ทำให้ลิ้นชา อาเจียน หายใจลำบากและอาจถึงตายได้ 
       
       2.ปลาหมึกโซดาไฟ
        
       หลังจากมีกระแสใช้เนื้อปลาปักเป้าแทนเนื้อไก่ อดีตพนักงานร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งก็ออกมาเปิดเผยถึงเบื้องหลังร้านหมูกระทะว่า ผู้ประกอบการบางรายมีการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ ที่มีส่วนผสมของโซดาไฟในการแช่เนื้อปลาหมึก เพื่อให้เนื้อมีสีขาวน่ารับประทาน แต่แน่นอนว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค
       
       3.กระทะน้ำยาล้างห้องน้ำ
       
       ปัญหาหนึ่งในร้านหมูกระทะคือการทำความสะอาดกระทะที่เป็นรอยดำจากเศษเนื้อไหม้ที่ติดฝังแน่นบนกระทะ การทำความสะอาดจำเป็นต้องใช้เวลานาน ทำให้ร้านหมูกระทะบางแห่งใช้น้ำยาล้างห้องน้ำมาแช่กระทะเพื่อประหยัดเวลาและต้นทุนในการทำความสะอาด ทว่าน้ำยาล้างห้องน้ำไม่เหมาะกับการนำมาทำความสะอาดกระทะ และอาจมีสารเคมีตกค้างอยู่ได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาบำบัดเผยว่า แม้จะระบุไม่ได้ว่ามีการใช้สารเคมีชนิดใดทำให้ไม่สามารถระบุถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่สารเคมีเหล่านั้นย่อมส่งผลเสียต่ออวัยวะภายในแน่นอน
       
       4.ย่างไม่สุกเสี่ยงติดเชื้อ
       
       จากกรณีของนักศึกษาปริญญาโทที่ได้ไปรับประทานหมูกระทะที่ร้านแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แล้วล้มป่วยจนเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจได้รับเชื้อมาจากการกินเนื้อสัตว์ไม่สุก เมื่อเจาะน้ำไขสันหลังมาตรวจก็พบว่า มีเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก โดยเบื้องต้นพบว่าเป็นสารปนเปื้อนที่อยู่ในเนื้อปลา แม้ว่าจะยังมีตัวแปรของสุขภาพของผู้รับประทานเอง เพราะกลุ่มเพื่อนที่ไปกินด้วยไม่ได้มีอาการใดๆ ดร. สุรสิงค์ วิศรุตรัตน์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่เผยว่า การติดเชื้อนั้นอาจมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งผู้บริโภคควรงดรับประทานอาหารดิบซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
       
       ยกระดับหมูกระทะข้างทาง
       
       การรับประทานอาหารนั้น สิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญลำดับแรกคือปลอดภัย แต่หลายคนกลับเลือกมองข้าม ด้วยปริมาณที่ล่อใจ กับราคาที่ถูกจนยากจะปฏิเสธ พร้อมกันนั้นประเทศไทยก็ยังขาดกลไกในการตรวจสอบเพื่อปกป้องผู้บริโภค ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงอุปนิสัยการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยเท่าที่ควร
       
       เชฟ สุริยันต์ ศรีอำไพ อุปนายกสมาคมพ่อครัวไทย ให้ความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้ว่า มาตรฐานของร้านอาหารประเภทหมูกระทะนั้นแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

   ระดับหมูกระทะที่ได้มาตรฐานมีแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งร้านประเภทนี้จะมีมาตรฐานความปลอดภัยตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ รวมไปถึงการจัดเตรียมอาหาร การแล่เนื้อ การเตรียมห้องเย็นสต็อกเนื้อสด ซึ่งจะมีมาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่ง โดยจะมีกลุ่มผู้บริโภคอยู่ระดับกลางไปถึงระดับบน
       
       “กลุ่มนี้คือจะมีกำลังซื้อซึ่งเขาจะเลือกที่จะไม่เสี่ยง และมองหาร้านอาหารที่ได้มาตรฐานในการกิน ทั้งอรรถรส ความอร่อย หรือความพิถีพิถันในการรับประทาน ตรงนั้นราคาก็จะอีกระดับหนึ่งเลย”
       
       เมื่อมองถึงกรณีหมูกระทะทั่วไปตามริมทางซึ่งเป็นที่นิยม และมีการเปิดกันมากมายแทบจะทุกหัวระแหง เชฟสุริยันต์ เผยว่า ไม่สามารถทราบได้ถึงมาตรฐานด้านความปลอดภัย หรือมาตรฐานของวัตถุดิบเพราะในประเทศไทยนั้นมีการตรวจสอบน้อยมาก
       
       “แล่เนื้อเองหรือยังไง เนื้อหมูเป็นเศษเนื้อหรือเปล่า อันนี้ไม่สามารถบอกได้เลย ประเทศไทยให้ความสำคัญกับตรงนี้น้อยมาก”
       
       นอกจากนี้ การใช้ตะเกียบชุดเดียวก็อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ จากการคีบเนื้อดิบ กับเนื้อสุกเข้าปาก เพราะปกติแล้วผู้บริโภคก็รับประทานกันด้วยตะเกียบชุดเดียว
       
       “บางครั้งผู้ประกอบการอาจจะบริหารจัดการคนละส่วน ซึ่งในครัวก็อยู่ที่จริยธรรมของเชฟด้วย แบ่งงานถูกมั้ย? เก็บผักถูกมั้ย? คนเดียวคงจะทำไม่ได้ ต้องใช้หลายๆส่วน และหลายส่วนก็ไม่มั่นใจว่าจะถูกอบรมมาในเรื่องของการควบคุมคุณภาพ การรับสมัครมาเป็นผู้ช่วยตำแหน่งอาจจะไม่ได้ใช้คนที่เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่ถามว่าร้านหมูกระทะคำนึงถึงความปลอดภัยมั้ย? ทุกคนคำนึงถึงแต่มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น”
       
       ดังนั้น บางครั้งการไม่มีความรู้ในด้านของความปลอดภัยของอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการที่ร้านหมูกระทะเป็นที่นิยมขึ้น เกิดจากการให้คุ้มค่าในด้านของปริมาณ อุปนายกสมาคมพ่อครัวไทยเผยว่า กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างไม่ได้ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยเท่าที่ควร บอกได้ว่า เอาปริมาณ เอาความอิ่มเป็นที่ตั้ง
       
       “พอราคาถูกของก็จะไม่ค่อยมีคุณภาพไปโดยปริยาย มันอาจจะมีคุณภาพอยู่ระดับหนึ่ง แต่ส่วนมากลูกค้าระดับกลางไปถึงล่างจะกินตามร้านทั่วไป พวกนี้กำลังซื้อน้อย อาจจะบุฟเฟต์ 59 - 69 บาท ตัวร้านเองก็ต้องทำยังไงก็ได้เพื่อให้มีกำไร
       
       ทั้งนี้ การรับประทานอาหารที่ไม่ปรุงให้สุกก็มีอยู่ในวัฒนธรรมการกินแบบพื้นบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ หรือกุ้งเต้น ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ มากขึ้น
       
       อย่างไรก็ตาม การที่ร้านหมูกระทะมีเปิดขึ้นมากมายส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้บริโภคไม่ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการรับประทานอาหารมากนัก
       
       “คนไทยไม่ค่อยสนเรื่องความปลอดภัยเท่าไหร่ คือมันอยู่ที่ผู้บริโภคเองด้วยว่าเขาคำนึงถึงคุณภาพตรงนั้นขนาดไหน ถ้าคนที่มีความรู้ การศึกษามาก คำนึงถึงความปลอดภัยกันมาก และการมากินหมูกระทะก็เป็นการมาสังสรรค์กันอย่างหนึ่งด้วย”
       
       สิ่งที่ควรเกิดขึ้นจากบทเรียนของกรณีที่เกิดขึ้นคือการมีหน่วยงานในการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านการอนุรักษ์ หรือหน่วยงานของรัฐบาล ควรมีการจัดเจ้าหน้าที่ออกสุ่มตรวจเพื่อป้องกัน ซึ่งหากเทียบกับต่างประเทศจะมีการให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยของผู้บริโภคมาเป็นอันดับแรก
       
       “ถ้าไม่สะอาด ทิ้งทันที สั่งปิด เขาไม่สนว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายของทางร้านอาหาร เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญที่สุด แต่ในประเทศไทยไม่ได้เป็นแบบนั้น เราให้ความสำคัญกับตรงนี้น้อยมากๆ มีเพียงบางกรณีที่คนแจ้งเบาะแสว่า กินแล้วเจ็บป่วย หรือพบแมลงสาบ แต่ก็มีน้อยมาก”
       
       ในส่วนของร้านอาหาร แม้จะต้องคำนึงถึงกำไร หากทว่าความปลอดภัยของผู้บริโภคนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ เชฟ สุริยันต์ มองว่า หากเป็นไปได้ร้านหมูกระทะควรมีการให้ความรู้ด้านความปลอดภัยของอาหารกับพนักงาน อาจจะเชิญวิทยากร หรือเชฟเพื่อแนะนำ อบรม และพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างสรรค์รายละเอียดของการกินอาหารเพื่อสร้างจุดขายให้กับผู้บริโภค
       
       “นอกจากประโยชน์ทางด้านความปลอดภัยแล้ว การเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพยังทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้อีกด้วย เพราะทุกวันนี้ ร้านหมูกระทะมีเยอะมาก การแข่งขันสูง ความมั่นใจของผู้บริโภคเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ”
       
       ไม่ว่าร้านหมูกระทะ หรือผู้บริโภคจะเป็นต้นเหตุของวัฒนธรรมการกินที่วางความปลอดภัยไว้ทีหลัง และเน้นความคุ้มค่าของรายการอาหาร และปริมาณที่รับประทานมาก่อน แต่มาถึงตอนนี้ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าความปลอดภัยควรจะมาก่อนสิ่งอื่นเสมอ
        
       เรื่องโดย ทีมข่าวLive

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   
Create By: Pal_Pitchapong 



ระวัง...ตกเป็นเหยื่อแจกซิมฟรี


“ท่านใดพกบัตรประชาชนมีเลข 0 เลข 3 เชิญรับซิม...ฟรีค่ะ” คำชักชวนที่ล่อให้ผู้คนเข้าไปอย่างไม่รีรอ ปัญหาคาราคาซังที่เกิดขึ้นได้แทบทุกวัน มีผู้เดือดร้อนจากกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก บางส่วนเป็นคนจากต่างจังหวัดที่โดนหลอก เพราะคนกลุ่มนี้เข้าถึงง่าย นอกจากซิมธรรมดาแล้ว ยังมีซิมเล่นเน็ต ที่คนรุ่นใหม่ได้ยินเป็นต้องสนใจ ปัญหาเหล่านี้ยังคงดำเนินมาเป็นหลายๆปี แม้ว่าจะมีการร้องเรียนให้แก้ไขแต่ก็คงทำแบบกะปริบกะปรอยเหมือนกับปัญหาอื่นๆ
       
        ซิมฟรี หนี้กระจาย 
       
        กระบวนการขั้นตอนของการแจกซิมฟรี พนักงานจะยืนเป็นกลุ่มและอาศัยจังหวะที่คนเดินผ่านไปมา แล้วยื่นซิมให้พร้อมกับพูดว่า “ซิมฟรี” เมื่อไหร่ที่รับซิมแล้ว พนักงานจะเชิญไปที่บูธ และขอบัตรประชาชนพร้อมให้เซ็นใบรับรองซิมดังกล่าว หากไม่สนใจหรือปฏิเสธ พนักงานจะทำทีเป็นพูดจาหว่านล้อมและยัดเยียดโดยการฉวยโอกาสดึงบัตรประชาชน จากมือลูกค้าไปถ่ายเอกสาร เมื่อถามถึงการขอบัตร คำตอบที่ได้รับก็ชวนให้เชื่ออย่างง่ายได้ อย่างเช่น “จะเช็กดูว่าคุณได้รับซิมไปหรือยัง” หรือ “เอาไปยืนยันว่าได้รับซิมแล้ว” 
       
       เมื่อไหร่ที่ยื่นบัตรประชาชนให้กับคนกลุ่มนั้นแล้ว เท่ากับว่าคุณยอมรับทุกเงื่อนไขและได้เปิดใช้บริการรายเดือนโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นบริษัทจะส่งใบค่าใช้บริการที่เห็นแล้วอาจช็อกได้ บางรายไม่ได้ทำการเปิดใช้ซิมการ์ด ก็มีใบแจ้งหนี้ออกมา เพราะซิมนั้นเป็นรายเดือน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องเสียตังค์
       จากการพูดคุยกับผู้ที่ได้รับซิมไปแล้วได้ข้อมูลว่า เดือนแรกเสียครึ่งเดียวของโปรโมชันและให้ใช้ฟรี 1 เดือน ที่รับมาก็ยังคงไม่ได้เปิดใช้บริการทันที เพราะมีซิมที่ยังใช้งานได้อยู่ และเคยเจอมาแล้วกรณีไม่เปิดใช้ แต่มีใบแจ้งชำระมาเป็นพัน แต่ก็ปล่อยไว้ ไม่ไปจ่าย
       
        คนบางส่วนแจ้งปัญหาในเว็บไซต์พันทิปดอทคอมแบบฟรีๆ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องอะไร ต้องโทร.ไปและต้องไปเสียค่าปิดใช้บริการ ซึ่งสร้างปัญหาให้ใหญ่โตเข้าไปอีก บริษัทยักษ์ใหญ่น่าจะแก้ปัญหาได้ง่ายๆ แต่กลับปล่อยให้ค้างคาเป็นหลายๆปี อดคิดไม่ได้ว่านั่นเป็นกลยุทธ์การตลาดหรือไม่อย่างใด
       
        ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน
       
        ผู้ตกเป็นเหยื่อซิมฟรีหลายรายต่างให้ข้อคิดผ่านสังคมออนไลน์หลังจากที่ได้รับซิมไปแล้ว ก็มีผู้เดือดร้อนเข้ามาบอกต่อๆกันไม่ขาดสาย ผ่านทางเว็บบอร์ดยอดนิยมอย่างพันทิปดอทคอม ยังเหลือคนอีกมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ เหยื่อทุกรายเริ่มหมดความเชื่อถือในตัวบริษัท พร้อมทั้งไม่อยากใช้บริการใดๆ กับบริษัทอีกเลย อย่างไรก็ตาม บริษัทควรทำอะไรสักอย่างก่อนที่ประชาชนตาดำๆจะเข้าใจผิดหรือเห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นดีแล้ว
        
        “เรื่องนี้รู้เห็นทั้งบริษัทแหละค่ะตัวบิ๊กๆ รู้แหละ แต่วิสัยทัศน์แบบนี้ เราว่าอยู่ได้ไม่นานหรอก ใช้วิธีหลอกกินแบบนี้ เพราะวิธีนี้มันกินได้ระยะสั้นเท่านั้น ต่อไปคนก็รู้กลโกงมากขึ้น คนที่เคยโดนหลอกก็คงไม่โดนอีก แถมยังรู้ซึ้งถึงความเจ็บ งงนะที่เขาเลือกที่จะกินสั้นโดนเสียงกร่นด่า สาปแช่งบอกปากต่อปากกันไม่ให้ใช้มากกว่าจะได้กินยาวๆ ไปเลือกที่ปรับปรุงการบริการที่ได้ใจลูกค้า 
       
        ถ้าคลื่นสัญญาณดีสู้ค่ายอื่นไม่ได้ก็เน้นโปรที่น่าใช้ดึงดูดใจลูกค้าแทน ยังไงก็มีคนใช้บริการถ้าบริการดีประทับใจ แต่นี่ไม่ปรับปรุงแถมมาหลอกหลวงกันวิธีก็ใช้เวลานับถอยหลังเจ๊งได้เลย ต่อให้ภายหน้าปรับปรุงบริการดี สัญญาณดีโปรถูกๆ เลิกใช้วิธีนี้หากิน
       
        แต่ก็ไม่มีใครจะหันกลับไปใช้ค่ายคุณ เพราะคุณเล่นทำลายความรู้สึกไปแล้ว มันแค้นนะ ต่อให้เทพที่สุดในสามโลก ก็ไม่คิดไปข้องเกี่ยวอีกแน่นอน” จากคุณ ART is a B-A-N-G เว็บพันทิป
       
        “ทำไมไม่จัดการให้หมดไป ที่อนุสาวรีย์ชัยฯผมเห็น นักเรียน นักศึกษา โดนกันมากๆ เลย แจกซิมฟรีนี่ หน้าตาไม่ดี ไม่แจก สาวๆ สวยๆ แจก พอรับ ขอบัตรประชาชนด้วย เพื่อเอามาลงทะเบียนครับ แล้วผมก็เดินต่อ เวรกรรม แก้ได้แต่ไม่ทำใช่ไหม ต้องวางกฎแล้วแหละ ไม่มีผลดี เสียเวลา เสียเงินด้วย เสียงที่ได้ยิน แจกซิมเล่น net ฟรีครับ” จากคุณ พ่อตัวนุ่ม 2553 เว็บพันทิป
       
        จากการสอบถามการจำหน่ายซิมฟรีและยกเลิกบริการ กับทางบริษัทค่ายหนึ่ง ผลการตอบกลับมา
       
       “ในกรณีดังกล่าวผมยินดีประสานงานยกเลิกให้ครับ กรุณาแจ้งหมายเลขที่ได้รับมาและเบอร์ติดต่อเพิ่มเติมด้วยครับตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์เป็นผู้ดำเนินการเองครับ ขอบคุณครับ”
       
        สถานที่เล็กๆไม่ - ใหญ่ๆชอบ
       
        กลุ่มแจกซิมเหล่านี้มักแฝงตัวอยู่ตามสถานที่ใหญ่ๆ ที่มีผู้คนสัญจรไปมา เพราะคนยิ่งมากเท่าไหร่รายรับยิ่งมากเท่านั้น เป็นการทำกำไรให้กับบริษัทได้เช่นกัน ในวันหนึ่งมีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 20 ราย เมื่อลองนับดูแล้วภายใน 1 ปี จำนวนผู้ใช้ก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น เป็นหลักหมื่นก็ว่าได้
        
        สถานที่หลักๆในการตั้งบูทแจกซิมฟรี จะเป็นสถานที่ที่คนต่างจังหวัดพลุกพล่านอย่างเช่น บริเวณทางขึ้นลงสะพานลอยหน้าเมเจอร์รังสิต , BTS จตุจักร , หัวลำโพง , อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ , ห้างสรรพสินค้าและมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่พบได้มากจะเป็นค่ายสีส้ม ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็ต้องพบเห็น รองลงมาค่ายสีเขียวและสีฟ้า ที่เห็นเป็นประปราย
       
        ผ่านมาหลายปีก็ยังมี ผู้บริโภคทั้งหลายที่ถูกเอาเปรียบ มีผู้เดือดร้อนแทบทุกวัน จำนวนบูทที่ตั้งก็ขยายเพิ่มเรื่อยๆ ไม่ว่าจะมีการบอกต่อของเหยื่อมากแค่ไหน การตลาดขยายฐานลูกค้าที่น่าเอือม ก็ยังคงดำเนินไปอย่างสวยงาม
       
        ซิมฟรีไม่มีในโลก!!! 
       
        กิจกรรมที่ทางผู้ให้บริการมือถือแจกซิมฟรีนั้นเป็นการทำเพื่อขยายฐานลูกค้า อย่างรวดเร็วอย่างเดียว แม้คุณจะไม่ต้องเสียค่าซิม แต่ก็ต้องระวังตั้งแต่การรับซิม ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้แกะซิมมาเปิดใช้บริการ การให้ข้อมูลเอกสารสำคัญอย่างสำเนาบัตรประชาชน ก็ถือว่าเปิดใช้บริการแล้ว และหากคุณรับซิมฟรีนี้จะต้องมีใบสัญญาและข้อมูลจากผู้ประกอบการที่แจกซิมฟรี นี้เก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย!!
       เรื่องโดย ทีมข่าว Live
       
       (ข้อมูลและภาพจาก หนังสือ “โทร เท่าทัน” โดยสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม)

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   

Create By: Pal_Pitchapong 




โดนลวนลาม อย่าปล่อยให้ลอยนวล ต้องเอาคืนอย่างนี้...



คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN Sexociety
       
       หญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่เคยโดนผู้ชายใจทราม ล่วงละเมิดทางเพศ กันมาแล้ว แต่พวกเธอก็ยังปล่อยให้พวกมันลอยนวลอยู่ต่อไป ด้วยการไม่คิดจะทำอะไรเลย ไม่เคยไปแจ้งความกับตำรวจ เพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่น่าอายหรือไม่ก็คิดว่าตำรวจอาจไม่เชื่อและไม่ดำเนินคดีให้ ไอ้พวกนั้นก็เลยได้ใจและทำระยำต่อไปได้เรื่อยๆ
   ลองพิจารณาเรื่องราวของ นิคกี้ ออแรม สาวอังกฤษวัย22 คนนี้ดูเป็นตัวอย่างว่า เธอทำยังไงกับผู้ชายที่ลวนลามเธอ
       
       “มันเป็นคืนวันเสาร์ธรรมดาๆ ฉันกับจูลี่เพื่อนของฉันอยู่ที่ บาร์แห่งหนึ่งในลอนดอน เราสนุกกับการเต้นรำและคุยกัน จนในที่สุดเราก็ตัดสินใจไปต่อกันที่คลับแห่งหนึ่งใกล้ๆ บ้าน
       
       “ในคลับแห่งนั้นกำลังคึกคักทีเดียว ฉันมีแฟนแล้ว จึงไม่ได้มองหาหนุ่มๆ คนไหน แต่จูลี่ยังโสดสนิท และในไม่ช้าเธอก็ได้เพื่อนคุยเป็นหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง พอถึงเวลาที่เราตัดสินใจกลับบ้าน คลับนั่นก็แน่นเอี้ยดแล้ว เพื่อนหนุ่มของจูลี่ เป็นคนนำทางโดยที่จูลี่จูงมือฉันขณะเราแหวกทางออกไป
       
       "ขณะผ่านบาร์เหล้า ฉันต้องเบียดผ่านชายคนหนึ่ง และทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกว่ามือของเขาล้วงเข้ามาในกระโปรงสั้นของฉันและจับหมับที่จิ๋ม ฉันตกใจสุดขีดและตบมือของเขาออกไป
       
       “ ‘ทำยังงี้มันไม่ถูกนะ’ฉันตะโกนใส่หน้าเขา แต่เขาไม่พูดอะไร ได้แต่แสยะยิ้มใส่ ฉันคว้ามือจูลี่และพูด ‘ผู้ชายคนนั้นแตะต้องฉัน’ เธอจึงเดินนำฉันออกไปข้างนอกและเราบอกกับรปภ.คนหนึ่งของคลับนั้นซึ่งก็แค่ยักไหล่
       
       "แต่รปภ.อีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาและขอให้ฉันพาเข้าไปชี้ตัวชายคนนั้น ถึงตอนนี้ฉันก็น้ำตาไหลแล้วและรู้สึกสั่นกลัวเกินกว่าจะกลับเข้าไปอีก ดังนั้นจูลี่จึงทำหน้าที่ชี้ตัวแทนฉัน



       “หลังจากนั้น สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายคนที่ล้วงฉันถูกนำตัวขึ้นชั้นบนโดย รปภ.ทั้งสอง แล้วตำรวจก็ถูกเรียกมา ฉันให้ปากคำเสร็จ ตำรวจ 2 นายก็ขับไปส่งที่บ้านพ่อของฉัน มันเป็นเวลาเกือบตี5แล้ว ฉันล้มตัวลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้า
       
       "วันรุ่งขึ้น ฉันต้องไปสถานีตำรวจ ให้ DNA ที่ล้วงกวาดจากกระพุ้งแก้มของฉัน และมอบเสื้อผ้า (ชุดที่โดนล้วง) ไว้เป็นหลักฐาน
       
       “ในไม่ช้าฉันก็ได้ทราบว่าชายคนนั้นเคยโดนคดีกระทำชำเราละศาลสั่งลงโทษไปแล้ว บางคนถามฉันว่าทำไมฉันต้องเปลืองตัวไปขึ้นศาลเพียงเพราะคดี “เล็กๆน้อยๆ”แบบนี้ และไม่กลัวว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นหรือ แต่ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งกว่านั้น ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลย และเขาทำอย่างนั้นกับคนอื่นอีกล่ะ จะว่าไง?
       
       “ฉันได้รู้ในศาลว่าคนที่ลวนลามฉัน มีอายุ 27 ปี เป็นอดีตนักฟุตบอล ชื่อ เจย์ เมอร์เรย์ เขาปฏิเสธตลอดข้อหา เมื่อฉันเห็นหน้าเขา มันดูน่าเวทนามาก ตัวเขาไม่ใหญ่เท่าไร และสวมเสื้อผ้าปอนๆ
       
       “ฉันประหม่ามาก ขณะมอบหลักฐาน อัยการถามว่าคืนนั้นฉันสวมอะไร โชคดีที่ฉันสวมกางเกงถุงน่อง เมอร์เรย์จึงไม่ได้สัมผัสเนื้อหนังของฉัน จูลี่กับรปภ.คนนั้นขึ้นให้การเป็นพยานต่อจากฉัน
       
       “ฉันไม่อยากฟังตอนเมอร์เรย์ให้การ จึงออกจากห้องพิจารณาคดีไป ขณะอยู่ข้างนอก ตำรวจหญิงคนหนึ่งเข้ามาหาฉันและบอกฉันว่า หมอนั่น เคยโดนลงโทษในคดีกระทำชำเรามาก่อน เขาเคยทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์
       
       "และคืนหนึ่งเขางัดเข้าไปในบ้านของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาเคยส่งจดหมายให้ เขาข่มขืนเธอและทิ้งรอยแผลขีดข่วนและรอยกัดไว้ทั่วร่างเธอ เขาถูกตัดสินจำคุก 7 ปี แต่ได้รับการปล่อยตัวโดยทัณฑ์บน หลังจากอยู่หลังลูกกรงไม่ถึง 4 ปี ในคืนที่เขาล้วงฉัน
   “ฉันรู้สึกสยอง และมันทำให้ฉันยิ่งอยากเห็นผลของความยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นกับเขามากขึ้นอีก ในระหว่างการพิจารณาคดี ฉันจึงกลับเข้าไปในศาลอีก และพบว่าเมอร์เรย์ถูกตัดสินว่ามีความผิด ฉันรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างยิ่ง เขาถูกจำคุก 2 ปีรวมกับเวลาที่เหลือจากโทษ7ปีนั่นด้วย
       
       “ฉันดีใจเหลือเกินที่ได้แจ้งความดำเนินคดีเขา สิ่งที่ฉันอยากจะบอกผู้หญิงทุกคนก็คือ แจ้งความกับตำรวจในทุกสิ่งที่คุณถูกละเมิด ไม่ว่าคุณจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม คุณอาจช่วยชีวิตคนอื่นๆจากการกระทำที่ร้ายแรงกว่านี้อีกเยอะ”
       
       ตอนต่อไปเราจะนำเสนอหลักการและวิธีปฏิบัติเมื่อคุณผู้หญิงถูกรังควาญทางเพศนะครับ
      
       อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th                   
Create By: Pal_Pitchapong 




 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Justin Bieber, Gold Price in India