วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แพทย์ทางเลือก กับมะเร็งเต้านม



ศ.ดร.นพ.พรชัย โอเจริญรัตน์
        ภาควิชาศัลยศาสตร์
       
       การแพทย์ทางเลือก เป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยมีการสร้างกระแสจากสื่อต่างๆ รายงานว่า หายจากมะเร็งได้ด้วยแพทย์ทางเลือก แต่จากการเก็บข้อมูลผู้ที่ใช้การแพทย์ทางเลือกในประเทศไทย มีข้อที่น่าสังเกตว่า
       
       ผู้หญิงบางรายไม่ได้เป็นมะเร็ง เพียงแต่ไปพบแพทย์และได้รับการตรวจคลำพบก้อนในเต้านม ซึ่งแพทย์สันนิษฐานว่า อาจเป็นมะเร็ง แต่ไม่ได้รับการตรวจโดยละเอียด หันเข้าหาแพทย์ทางเลือกเลย ซึ่งในความเป็นจริงอาจเป็นซีสต์ ซึ่งสามารถหายได้เองเมื่อปล่อยไว้ระยะเวลาหนึ่ง ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งชนิดไม่ลุกลาม เช่น มะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก ซึ่งได้รับการวินิจฉัยโดยการคว้านชิ้นเนื้อเพื่อไปตรวจหามะเร็งนั้น ซึ่งก็จัดเป็นการรักษาในรูปแบบหนึ่งอยู่แล้ว หลังจากนั้นผู้ป่วยหันไปหาแพทย์ทางเลือก จึงทำให้เข้าใจว่าช่วยให้หายจากมะเร็ง ทั้งที่ชิ้นเนื้อที่คว้านไปอาจตัดเชื้อมะเร็งออกไปจนหมดเนื่องจากเป็นในระยะเริ่มแรก
       
       ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันจนครบคอร์สแล้ว กำลังเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา ร่างกายอ่อนเพลียจากเคมีบำบัด และหันเข้าหาแพทย์ทางเลือกในช่วงนั้น เมื่อร่างกายฟื้นตัวขึ้น ก็เข้าใจเอาว่าการที่มะเร็งหายนั้น มาจากแนวทางการแพทย์ทางเลือกที่ไปเข้ารับในภายหลัง
       แพทย์ทางเลือกผสมยาเคมีบำบัดในยาสมุนไพรที่อ้างว่ารักษามะเร็งได้ เมื่อผู้ป่วยรับยาเข้าไปทำให้ก้อนมะเร็งยุบลงได้ แต่เป็นการรับยาในปริมาณที่ไม่เพียงพอและไม่เหมาะสม เหมือน “การเลี้ยงไข้” เอาไว้ ทำให้สุดท้ายมะเร็งเกิดดื้อยาในที่สุด


       
       กลุ่มที่เชื่อในแนวทางการแพทย์ทางเลือกนี้ มีความคล้ายคลึงกัน คือ เป็นกลุ่มที่มีการศึกษาดี และพยายามขวนขวายหาข้อมูลจากสื่อต่างๆ จึงหันไปหาแพทย์ทางเลือก โดยละเลยแพทย์แผนปัจจุบัน หลายคนที่ออกไปแล้วกลับมาเข้ารับการรักษา หลังจากวิเคราะห์เจอเซลล์มะเร็งครั้งแรกเมื่อ 1-2 ปี ทำให้หมดโอกาสในการรักษาตั้งแต่มะเร็งเกิดขึ้นแรกๆ โอกาสหายก็น้อยลง และหลายรายกลับมาในลักษณะที่มะเร็งลุกลามไปไกลเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว
       
       สำหรับคนรักสุขภาพทั้งหลาย ขอฝากทิ้งท้ายว่า อย่าทิ้งการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียดายหากแนวทางที่เลือกไปไม่ประสบผล อย่าลืมว่าการปล่อยเวลาให้ผ่านไปนั้น เท่ากับเป็นการปล่อยให้เซลล์มะเร็งร้ายในร่างกายเติบโตขึ้นทุกวัน


ปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมจะดีขึ้นทั้งทางด้านการแพทย์ การรักษา การผ่าตัด การตรวจพบด้วยตัวเองได้ตั้งแต่ในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมมีอัตราการเสียชีวิตน้อยลงก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าโรคดังกล่าวจะหมดสิ้นไป 
เพราะกลับพบว่าอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมกลับสูงขึ้นจากเดิมถึงเท่าตัวโดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้นด้วย..

   อะไรคือสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้หญิงเป็นโรคชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น และเราจะมีวิธียับยั้งหรือป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ นี่คือความรู้ 7 ประการ ที่สาวๆ ควรรู้ไว้เพื่อหาทางป้องกันก่อนสายเกินแก้




น้ำหนักตัวขึ้นสูง
ผู้ที่มีปัญหา "โรคอ้วน" หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก มักจะมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูง 
โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป หากมีน้ำหนักตัวสูงถึง 20-30 ปอนด์ มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูงถึง 40% แต่ถ้ามีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นไม่เกิน 5 ปอนด์ โอกาสเสี่ยงแทบจะไม่มีเลย และเฉพาะช่วงหลังหมดประจำเดือนไปแล้วจะสามารถเพิ่มความเสี่ยงได้ถึง 1.5-2.0 เท่าเลยทีเดียว

 ระดับการออกกำลังกาย
สาวๆ ที่ไม่ค่อยมีกิจกรรม เอาแต่กินและนอน หรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
มีความเสี่ยงจะเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้มากกว่าสาวไฮเปอร์ที่อยู่เฉยไม่ได้ และรักการเสียเหงื่อเป็นชีวิตจิตใจ  สาวชอบออกกำลังกายเหล่านี้จะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเต้านมลดลงถึง 20-30% 
การออกกำลังกายเพียงแค่อาทิตย์ละ 3-4 ชั่วโมง จะช่วยควบคุมฮอร์โมนเอสโตรเจนให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยลดการสร้างเนื้อเยื่อบริเวณทรวงอก และช่วยปรับระดับอินซูลินให้อยู่ในภาวะปกติ 
เพราะอินซูลินถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเซลมะเร็งในทรวงอกได้




 แอลกอฮอล์
สาวนักดื่มที่นิยมจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาทิตย์ละหลายๆ แก้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไปเพิ่มปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนให้สูงขึ้น ซึ่งระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูงขึ้น หนทางแก้ไขสำหรับสาวนักดื่มอาจจะต้องลดปริมาณแอลกอฮอล์ลดเหลือแค่วันละแก้วน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 วิตามินดี
มีหลักฐานทางการแพทย์จำนวนมากมายที่ระบุว่า 
วิตามินดีมีผลต่อการป้องกันโรคมะเร็ง รวมทั้งมะเร็งเต้านมด้วย ยกตัวอย่าง การวิจัยของผู้หญิงที่ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอในแต่ละวัน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่เต้านมลดลง ส่วนผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินดี 400 IU ขึ้นไปในแต่ละวัน

 ยาเม็ดคุมกำเนิด
สถาบันทางการแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้กษาวิจัยและพบว่าการกินยาเม็ดคุมกำเนิด 
หรือการใช้ฮอร์โมนในเพศหญิงติดต่อกันเป็นเวลานาน 10 ปีขึ้นไป หรือใช้ยาตั้งแต่อายุยังน้อย อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ ทางที่ดีก่อนจะตัดสินใจคุมกำเนิดควรปรึกษาแแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินารีเวชถึงวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับเราที่สุดจะดีกว่า




 ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อทรวงอก
ผู้หญิงที่มีเต้านมเต่งตึงกว่าอายุ เช่น หญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และมีความหนาแน่นของเต้านมมากกว่าร้อยละ 75 จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ หรือการกลายพันธุ์ของยีน เช่น การเกิดการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 สามารถทำให้เกิดมะเร็งเต้านม 
และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

 ป้องกันด้วยการกินยาต้านฮอร์โมน
ในปี 1998 มีผู้หญิงที่อาสาเข้าทำการทดสอบด้วยการกินยาต่อต้านฮอร์โมนเอสโตรเจนในเวลา 5 ปี หลังจากนั้นได้ทำการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งและพบว่าอัตราความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมลดลงถึง 49% ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าทำการทดสอบ ทางครอบครัวเคยมีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน รวมทั้งผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมก็มีอัตราเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นใหม่สูงกว่าคนปกติด้วย

       

       พบกิจกรรมดีๆ ที่ศิริราช
       
       • 28-30 พ.ย.55 ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญบุคลากรทางการแพทย์ร่วมงานประชุมวิชาการ เรื่อง “ปัญหาเท้าในผู้เป็นเบาหวาน : การป้องกันและการดูแล” ณ ห้องตรีเพ็ชร อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 รพ.ศิริราช สนใจดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่http://www.si.mahidol.ac.th/th/department/rehabilitation/admin/news_files/75_18_1.pdfค่าลงทะเบียน 3,500 บาท หรือสอบถาม โทร.0 2419 2678


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ : www.manager.co.th /ผู้หญิงนะคะดอทคอม
Create By: Pal_Pitchapong




 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Justin Bieber, Gold Price in India